วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2551

reengineering



Business Process Reengineering หรือ Business Process Redisign หรือที่เรียกย่อๆว่า BPR นั้นคือความพยายามเชิงการจัดการ ที่มีความมุ่งหมายเพื่อยกระดับประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของกระบวนการทำงานขององค์กรตลอดทั้งระบบ วิธีการนั้นก็แสนจะง่าย เพียงมองกลับไปมองที่ระบบการทำงานขององค์กร เดเวนพอร์ท (1993) หนึ่งในผู้ก่อตั้ง BRP ชี้ว่า วิธีการ Reengineering นั้นจะต้องคิดหารูปแบบใหม่ในวิธีการทำงาน, กิจกรรมที่จำเป็นต้องทำจริงจริง และ การนำเอา คน, วิทยาการ และ องค์กร เข้ามาประสานเข้าด้วยกัน
วิธีการนี้ฟังเหมือนจะเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้น เดเวนพอร์ท (1996) ชี้ว่ากระแส รีเอนจิเนียร์ริงนั้น เป็นเหมือนดอกไม้ไฟเท่านั้น ด้วยความเข้าใจที่ผิดๆ เขาชี้แจงแบบเกรี้ยวกราดว่า ปัจจุบันนี้ รีเอนจิเนียร์ริง ถูกเข้าใจแบบผิดๆว่าคือการ เปลี่ยนโครงสร้างใหม่, ไล่คนออก และ เปลี่ยนแปลงแบบถี่ๆ ในขณะที่ "มหกรรมการไล่ออก" ไม่เคยได้รับการเอ่ยถึง ในช่วงต้นของประวัติศาสตร์การรีเอนจิเนียร์ริงเลย พูดง่ายๆ ผู้จัดการในปัจจุบันละทิ้งการให้ความสำคัญของมนุษย์ไปเสียแล้ว
แท้จริงแล้ว หัวใจของรีเอนจิเนียร์ริ่ง คือมนุษย บทบาทของเทคโนโลยีนั้นคือการช่วยงานมนุษย์ ไม่ใช่ทดแทนมนุษย์ อย่างไรก็ตาม นักธุรกิจหลายคนกลับเข้าใจผิดเกี่ยวกับบทบาทของเทคโนโลยี และโละพนักงานเจนสนามออก ที่คล้ายๆกัน ไลเกอร์ (2004) เองก็กล่าวว่า ปรัชญาของโตโยต้านั้น ให้ความสำคัญกับพนักงานมาก ชนิดขาดไม่ได้ อีกทั้งคำว่า "Autonomation" ในปรัญญาของโตโยต้านั้น ชี้ให้เห็นได้ชัดว่า มนุษย์มีความน่าเชื่อถือกว่าเครื่องจักร (ยืนยันการสะกดว่าถูกต้องแล้ว เป็นศัพท์ที่โตโยต้าบัญญัติขึ้นใช้เอง โดยหมายถึงการใช้เครื่องจักรที่มีมนุษย์ควบคุม ไม่ปล่อยให้เครื่องจักรทำงานเองโดยปราศจากการควบคุม)
จุดล้มเหลวอีกจุดของรีเอนจิเนียร์ริ่งนั้นก็คือ การตัดสินใจระยะสั้น มองเพียงแต่ผลกำไร โดยไม่มองถึงผลเสียในระยะยาวนั้นเอง


การ reengineering ของ Horseshoe Point


Horseshoe Point วัดฝีมือ เจตน์ โศภิษฐ์พงศธร ในบรรดาเหล่าลูกหลานของเจ้าสัวเกียรติ ศรีเฟื่องฟุ้ง ชื่อของ "เจตน์ โศภิษฐ์พงศธร" กรรมการผู้จัดการบริษัท Horseshoe Point ผู้มีศักดิ์เป็นหลานตาของเจ้าสัวผู้ยิ่งใหญ่ นับว่าเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่มากความสามารถชนิดที่หาตัวจับได้ยากเพราะการแจ้งเกิด Horseshoe Point พัทยา นับเป็นผลงานการันตีความสามารถของเขาได้เป็นอย่างดี
เขาจบปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมศาสตร์อุตสาหการ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจากนั้นจึงได้ทำงานบริษัท ไทยศรีซูริค ประกันภัยฯ ช่วงนั้นตรงกับช่วงวิกฤติเศรษฐกิจพอดีทำให้เกิดการควบรวมหรือการซื้อกิจการโดยชาวต่างชาติซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงในการบริหารจัดการ บริษัทประกันที่ "เจตน์" เข้าไปทำงานก็เป็นเหมือนกัน
"ผมทำงานกับบริษัทนี้เพราะเห็นว่าเขาเพิ่งร่วมทุนกับต่างชาติ ผมเห็นว่าเป็นโอกาสที่เราจะได้พัฒนาตนเองเพราะต่างชาติจะต้องเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานของบริษัทแห่งนี้ หน้าที่ของผมก็คือการรีเอนจิเนียร์ ระบบต่างๆ ตั้งแต่การเคลม ระบบการออกกรมธรรม์ ระบบการคำนวณเบี้ยประกัน รวมไปถึงการยกเครื่องกระบวนการต่างๆจะทำให้มีการเก็บข้อมูลเข้าระบบสารสนเทศในทุกขั้นตอน และนำออกมาใช้ในงานบริหารหรืองานบริการลูกค้าอย่างเป็นระบบ ผลลัพธ์ก็คือค่าใช้จ่ายลดลง การผิดพลาดที่เกิดจากคนลดลง และมีประสิทธิภาพมากขึ้นซึ่งก็ส่งผลต่อการบริการที่ดีขึ้น"
เขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่นี่ได้ 4 ปี จึงตัดสินใจที่จะศึกษาต่อปริญญาโทในสหรัฐอเมริกา จึงตัดสินใจลาออกเพื่อมาเตรียมตัว ช่วงนั้น "ชัยคีรี ศรีเฟื่องฟุ้ง" ทายาทของเจ้าสัวเกียรติ ศรีเฟื่องฟุ้ง ผู้มีศักดิ์เป็นลุงของ "เจตน์" ได้แตกไลน์ธุรกิจใหม่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ออกมานั่นก็คือ Horseshoe Point พัทยา
ด้านมหาวิทยาลัยชื่อดังที่ "เจตน์" ติดต่อเข้าไปเพื่อศึกษาต่อปริญญาโท ได้แจ้งว่าไม่สามารถรับเขาได้ ด้วยเหตุนี้ "เจตน์" จึงต้องทำงานที่เมืองไทยระยะหนึ่งจนกระทั่งคุณอาของเขาได้ชวนให้ไปทำงานที่สวิตเซอร์แลนด์ ในบริษัท Trading Company ซึ่งนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยเข้าอาหารไทย ยี่ห้อไทยคิชเช่น เข้ามากระจายไปยังจุดต่างในสวิสและนำสินค้าจากสวิสไปจำหน่ายในเอเชีย เช่น ไทย ญี่ปุ่น เขาทำงานที่นี่ได้ประมาณ 1 ปีจึงตัดสินใจกลับมาเมืองไทยเพื่อเข้ามาดูแล Horseshoe Point
"Horseshoe Point เปิดในปี 2545 ผมมาถึงก็เป็น GM ทำงานในโรงแรม เราเข้าไปเรียนรู้ระบบใหม่ทั้งหมด ผมยอมรับว่าแรกๆก็งงเหมือนกันเพราะการบริหารจัดการโรงแรมเป็นเรื่องที่ใหม่สำหรับเรา แต่ก็ไม่เกินความสามารถของเราแม้ว่า ผมจะไม่ใช่ GM ที่มาจาก โรงแรมใหญ่ หรือจบมาจากโรงเรียนการโรงแรม แต่ทุกอย่างก็ไม่ยากเกินการเรียนรู้"
สำหรับหน้าที่หลักของ "เจตน์"ก็คือ ทำอย่างไรให้ Horseshoe Point เป็นที่รู้จักเพราะเป็นโรงแรมใหม่ในพัทยาซึ่งมีข้อจำกัดหลายด้านเช่น ไม่ใช่เส้นทางหลักเหมือนกับแหล่งท่องเที่ยวทั่วๆไป จนหลายคนไม่รู้จัก ที่สำคัญในพื้นที่ใกล้เคียงไม่มีแหล่งท่องเที่ยวเช่น ทะเล วัด เมืองโบราณ นี่คือโจทย์ข้อใหญ่ที่หลานเจ้าสัวเกียรติคนนี้ต้องตีให้แตก
"ผมเลือกที่จะใช้กลยุทธ์อีเวนต์มาร์เก็ตติ้ง จัดกิจกรรมในแต่ละช่วงเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในพัทยาและต่างจังหวัดให้เข้ามาไม่ว่าจะเป็น กิจกรรมคอนเสิร์ต เมาเทนไบค์ ฯลฯ เรียกว่าอาศัยช่วงเทศกาลจัดกิจกรรมต่างๆ ที่ Horseshoe Point จากนั้นเราจึงเชิญนักข่าวให้เข้ามาช่วยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สถานที่ของเราให้เป็นที่รู้จัก"
สิ่งสำคัญนอกจากการบริหารธุรกิจก็คือการสร้างความสัมพันธ์กับสื่อมวลชนทุกแขนงเพราะว่า Horseshoe Point ในขณะนั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ แต่มีความต่างกับสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ เช่น Horseshoe Point ไม่ได้เป็นแค่โรงแรม อย่างเดียวแต่ยังมี โรงเรียนสอนขี่ม้า อุทยานสามก๊ก ฯลฯ
"เราได้จัดกิจกรรมต่างๆ หลายครั้งเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวแต่ที่เราโดดเด่นที่สุดก็คือ กิจกรรมที่เกี่ยวกับม้า ซึ่งผมก็ดีใจที่สถานที่ของเราเป็นสถานที่ซึ่งเหมาะในการจัดกิจกรรมประเภทนี้เช่น สอนขี่ม้า โชว์ม้าเต้นระบำ ซึ่งเป็นกิจกรรมสร้างชื่อให้กับที่นี่เป็นอย่างยิ่ง ยิ่งในช่วงนี้ทางเราก็ตั้งใจที่จะนำกลยุทธ์ลูกค้าสัมพันธ์ มาพัฒนาการตลาดโดยอาศัยข้อมูลที่เรามาปรับใช้กลยุทธ์เช่น ลูกค้าคนนี้เคยมาเมื่อไหร่ ชอบอะไรบ้าง ประวัติการพักเป็นอย่างไร ชอบห้องนี้ไม่ใช่ชอบห้องนั้น ซึ่งเรามีข้อมูลเหล่านั้นและเมื่อนำมาปรับใช้ก็จะทำให้เราใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น"
นอกจากนี้ "เจตน์" ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรมากเพราะธุรกิจของเขาคือธุรกิจการบริการที่ต้องพึ่งบุคลากรในองค์กรเป็นหลัก โดยยึดแนวคิดที่ว่าพยายามทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมและรักองค์กรเสมือนว่าเป็นบ้านหลังที่สอง
" ในการทำงานคนต้องมีความสามารถ ถ้าไม่เป็นก็ต้องสอน เมื่อสอนแล้วก็ต้อง(ฝึก)ซ้อม เพื่อให้มีการพัฒนาตลอดเวลา นี่คือหลักการข้อแรกของผมในการพัฒนาคน ส่วนข้อสองคือความสุขต้องออกจากภายในสู่ภายนอกและส่งไปยังลูกค้าของเรา ฉะนั้นสิ่งสำคัญเราต้องดูแลจิตใจของบุคลากรให้ดีโดยให้เขามีความสุขในงานที่เขาทำและกับเพื่อนร่วมงาน จากนั้นต้องสร้างความภูมิใจให้กับเขาเพื่อให้เขารู้สึกว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นงานที่มีเกียรติและมีค่า"
นอกจากนี้ "เจตน์" ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ที่สำคัญต้องทำให้ทุกคนเห็นถึงเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนเพื่อให้เขาทุกคนมีความหวังกับการทำงานเมื่อทุกคนมีเป้าหมายมีความหวังและมีความภูมิใจในงานที่ตนเองทำแล้วก็จะทำให้ทุกคนตั้งใจทำงานอย่างเต็มความสามารถ
"ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรและสนับสนุนให้พวกเขาทำงานเป็นทีม นอกจากนี้ต้องชี้ให้เขาเห็นถึงเป้าหมายการทำงานร่วมกันทุกคนก็จะขับเคลื่อนองค์กรไปในทิศทางเดียวกัน ที่สำคัญต้องมีการฝึกอบรมพัฒนาความรู้ความสามารถของเขา และต้องมีกิจกรรมที่สร้างคุณค่าทางจิตใจให้กับพนักงาน"
สำหรับทิศทางแนวโน้มของธุรกิจในอนาคต "เจตน์" มองว่าที่ผ่านมาได้พัฒนาพื้นที่เพียงแค่ 10% จากที่ดิน 2,800 ไร่ ในอนาคตก็คงต้องกำหนดกรอบให้ชัดเจนมากขึ้น แต่ในขณะนี้เขาได้รุกเข้าไปในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยพัฒนาที่ดินประมาณ 70 ไร่ สร้างโครงการเรสซิเดนซ์ แอด ฮอร์สชู พอยท์ ซึ่งมีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาทขึ้นมาและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
"ทิศทางในอนาคตเราสามารถกำหนดกรอบธุรกิจได้แต่ไม่สามารถทำเองได้ทั้งหมดเพราะพื้นที่ใหญ่มาก แต่ผมก็มีโปรเจ็กต์ต่างๆอยู่ในใจอยู่แล้ว ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง สร้างที่จุดไหน แต่ขณะนี้ยังบอกไม่ได้" เจตน์ กล่าวปิดท้าย

แหล่งที่มาของข้อมูล

ไม่มีความคิดเห็น: